ตั้งค่า DKIM

ผู้ใช้ Gmail: หากคุณได้รับข้อความจดหมายขยะหรือฟิชชิงใน Gmail ให้ไปที่นี่แทน หากพบปัญหาในการส่งหรือรับอีเมลใน Gmail ให้ไปที่นี่แทน

ผู้ส่งอีเมล: หากคุณส่งอีเมลไปยังบัญชี Gmail ส่วนบุคคล คุณต้องตั้งค่าการตรวจสอบสิทธิ์อีเมลเพื่อให้แน่ใจว่าระบบจะนำส่งอีเมลตามที่คาดหวังไว้ ผู้ส่งทุกคนต้องตั้งค่า SPF หรือตั้งค่า DKIM ผู้ส่งอีเมลจำนวนมาก (ส่งมากกว่า 5,000 ข้อความต่อวัน) ต้องตั้งค่า SPF, ตั้งค่า DKIM และตั้งค่า DMARC ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หลักเกณฑ์สำหรับผู้ส่งอีเมล

DKIM ช่วยปกป้องโดเมนของคุณจากการปลอมแปลงด้วยการตรวจสอบสิทธิ์อีเมลด้วยลายเซ็น DKIM คุณจะตั้งค่า DKIM ได้โดยการสร้างคีย์ DKIM สาธารณะและเพิ่มลงในโดเมน เซิร์ฟเวอร์ในฝั่งผู้รับจะใช้คีย์ DKIM สาธารณะของคุณเพื่ออ่านลายเซ็น DKIM และตรวจสอบสิทธิ์ข้อความที่ได้รับจากโดเมนของคุณ

ในหน้านี้

ก่อนเริ่มต้น

  • คุณอาจไม่จำเป็นต้องตั้งค่า DKIM กรณีที่โดเมนของคุณตั้งค่า DKIM ไว้โดยค่าเริ่มต้นแล้ว หรือคุณซื้อโดเมนจากพาร์ทเนอร์ของ Google เมื่อลงชื่อสมัครใช้ Google Workspace หากต้องการตรวจสอบว่าได้ตั้งค่า DKIM สำหรับโดเมนของคุณแล้วหรือไม่ ให้ใช้เครื่องมือฟรีที่มีอยู่มากมายบนอินเทอร์เน็ต
  • หากใช้เกตเวย์ขาออก คุณต้องตรวจสอบว่าการตั้งค่าไม่รบกวน DKIM เกตเวย์ขาออกสามารถตั้งค่าเพื่อแก้ไขข้อความขาออกได้ เช่น เพิ่มส่วนท้ายที่ด้านล่างของทุกข้อความ โปรดดูหัวข้อตั้งค่าเกตเวย์ขาออกเพื่อประมวลผลอีเมลขาออก

DKIM ทำงานอย่างไร

หากต้องการตั้งค่า DKIM คุณจะต้องสร้างคีย์ DKIM สำหรับโดเมนของคุณเป็นคู่ ดังนี้

  • คีย์สาธารณะที่จัดเก็บไว้ในระเบียน TXT สำหรับ DKIM แบบ DNS ของโดเมน ซึ่งเป็นคีย์ที่คุณเพิ่มลงในโดเมนของคุณ
  • คีย์ส่วนตัวที่อัปโหลดไปยังเซิร์ฟเวอร์อีเมล คีย์นี้จะสร้างและเพิ่มลายเซ็น DKIM ในข้อความขาออกแต่ละข้อความ
เซิร์ฟเวอร์อีเมลของผู้ส่งที่มีคีย์ส่วนตัว
ระเบียน TXT สำหรับ DKIM ของผู้ส่งที่มีคีย์สาธารณะ
คีย์ส่วนตัวของผู้ส่งจะเพิ่มลายเซ็น DKIM ลงในส่วนหัวของอีเมลขาออก
ระบบจะส่งอีเมลไปยังโดเมนของผู้รับ
เซิร์ฟเวอร์อีเมลของผู้รับจะได้รับคีย์สาธารณะจากระเบียน TXT สำหรับ DKIM และใช้คีย์ดังกล่าวเพื่ออ่านลายเซ็น DKIM และตรวจสอบสิทธิ์อีเมล

ขั้นตอนที่ 1: สร้างคู่คีย์ DKIM

  • หากคุณใช้ Google Workspace ให้ทำตามวิธีการในส่วนนี้
  • หากคุณไม่ได้ใช้ Google Workspace ให้ใช้เครื่องมือที่มีให้จากอินเทอร์เน็ตเพื่อทำสิ่งต่อไปนี้
    • ค้นหาตัวเลือกคำนำหน้า DKIM คุณสามารถส่งอีเมลทดสอบไปยังกล่องจดหมาย ดูแหล่งที่มาของข้อความ และค้นหาค่า s ในส่วนหัว DKIM-Signature
    • ระบุชื่อโดเมน ความยาวคีย์ และตัวเลือกคำนำหน้า DKIM เพื่อสร้างคู่คีย์ DKIM
    • จัดเก็บคีย์ส่วนตัวในการกําหนดค่าเซิร์ฟเวอร์อีเมลและเพิ่มคีย์สาธารณะลงในโดเมนของคุณ
คุณต้องลงชื่อเข้าใช้ในฐานะผู้ดูแลระบบขั้นสูงเพื่อดำเนินการนี้

ข้อสำคัญ: ใน Google Workspace หลังจากที่เปิดใช้ Gmail ให้องค์กรแล้ว คุณจะต้องรอ 24-72 ชั่วโมงจึงจะได้รับคีย์ DKIM ในคอนโซลผู้ดูแลระบบ หากพยายามสร้างคีย์ก่อนระยะเวลานี้ คุณอาจได้รับข้อผิดพลาดว่าไม่ได้สร้างระเบียน DKIM

  1. ในคอนโซลผู้ดูแลระบบของ Google ให้ไปที่เมนู แอป Google Workspace Gmail

    ต้องมีสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบสำหรับการตั้งค่า Gmail

  2. คลิกตรวจสอบสิทธิ์อีเมล
  3. ในเมนูโดเมนที่เลือก ให้เลือกโดเมนที่ต้องการตั้งค่า DKIM
  4. คลิกปุ่มสร้างระเบียนใหม่
  5. ในช่องสร้างระเบียนใหม่ ให้เลือกการตั้งค่าคีย์ DKIM ดังนี้
    • 2048 - หากผู้ให้บริการโดเมนรองรับคีย์ 2048 บิต ให้เลือกตัวเลือกนี้ คีย์ที่ยาวมีความปลอดภัยมากกว่าคีย์ที่สั้น หากก่อนหน้านี้ใช้คีย์ 1024 บิต คุณจะเปลี่ยนไปใช้คีย์ 2048 บิตได้หากผู้ให้บริการโดเมนรองรับ
    • 1024 - หากโฮสต์ของโดเมนไม่รองรับคีย์ 2048 บิต ให้เลือกตัวเลือกนี้
    • ตัวเลือกคำนำหน้า
  6. คลิกสร้าง ในหน้าตรวจสอบสิทธิ์อีเมล ระบบจะอัปเดตค่าระเบียน TXT และข้อความอัปเดตการตั้งค่าการตรวจสอบสิทธิ์ DKIM แล้วจะปรากฏขึ้น

    ข้อสำคัญ: หน้าตรวจสอบสิทธิ์อีเมลในคอนโซลผู้ดูแลระบบของ Google อาจแสดงข้อความว่าคุณต้องอัปเดตระเบียน DNS สำหรับโดเมนนี้ต่อไปเป็นเวลาสูงสุด 48 ชั่วโมง หากคุณได้เพิ่มคีย์ DKIM ในระบบของผู้ให้บริการโดเมนอย่างถูกต้องแล้ว ก็ไม่ต้องสนใจข้อความนี้

  7. คัดลอกค่า DKIM ที่แสดงในหน้าต่างตรวจสอบสิทธิ์อีเมล คุณจะเพิ่มค่าดังกล่าวในระบบของผู้ให้บริการโดเมนของคุณในขั้นตอนถัดไป

    ชื่อโฮสต์ DNS (ชื่อระเบียน TXT) -ข้อความนี้คือชื่อของระเบียน TXT สำหรับ DKIM คุณจะเพิ่มชื่อนี้ลงในระเบียน TXT ของผู้ให้บริการโดเมนในช่องโฮสต์
    ค่าระเบียน TXT -ข้อความนี้คือคีย์ DKIM คุณจะเพิ่มคีย์นี้ลงในระเบียน TXT ของผู้ให้บริการโดเมนในช่องค่า TXT

สำคัญ: อย่าเพิ่งคลิกเริ่มต้นการตรวจสอบสิทธิ์ในตอนนี้ คุณจะดำเนินการนี้ในภายหลัง

ขั้นตอนที่ 2: เพิ่มคีย์ DKIM ในโดเมน

เมื่อสร้างคู่คีย์ DKIM แล้ว ให้เพิ่มคีย์ DKIM สาธารณะลงในโดเมนโดยการสร้างระเบียน TXT ของ DKIM

หากต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับข้อมูลการลงชื่อเข้าใช้ การตั้งค่า หรือระเบียน TXT ของโดเมน โปรดติดต่อผู้ให้บริการโดเมนของคุณ ทั้งนี้ Google ไม่มีฝ่ายสนับสนุนด้านเทคนิคสําหรับผู้ให้บริการโดเมนของบุคคลที่สาม
  1. ลงชื่อเข้าใช้โฮสต์ของโดเมน ซึ่งโดยปกติแล้วคือที่ที่คุณซื้อชื่อโดเมนมา หากไม่แน่ใจว่าโฮสต์ของโดเมนคือใคร โปรดดูหัวข้อระบุผู้รับจดทะเบียนโดเมนของคุณ
  2. ไปที่หน้าที่ใช้อัปเดตระเบียน TXT ของ DNS สำหรับโดเมน หากต้องการความช่วยเหลือในการค้นหาหน้านี้ โปรดดูเอกสารประกอบสำหรับโดเมนของคุณ
  3. เพิ่มหรืออัปเดตระเบียน TXT ด้วยข้อมูลนี้ (โปรดดูเอกสารประกอบสำหรับโดเมนของคุณ)

    ชื่อฟิลด์ ค่าที่จะต้องป้อน
    ประเภท ประเภทระเบียนคือ TXT
    โฮสต์ (ชื่อ ชื่อโฮสต์ อีเมลแทน) สตริงที่ประกอบเป็นชื่อระเบียน TXT เช่น google._domainkey ดู[ขั้นตอนนี้](#dkim-values) (ก่อนหน้านี้ในหน้านี้)
    ค่า สตริงที่ประกอบขึ้นเป็นค่าระเบียน TXT โดยควรขึ้นต้นด้วยข้อความเช่น v=DKIM1 ดู[ขั้นตอนนี้](#dkim-values) (ก่อนหน้านี้ในหน้านี้)

    หมายเหตุ: ผู้ให้บริการโดเมนบางรายจะจำกัดความยาวของระเบียน TXT หากเป็นเช่นนั้น ให้อ่านหัวข้อตรวจสอบจำนวนอักขระสูงสุดในระเบียน TXT ของผู้ให้บริการโดเมน

  4. บันทึกการเปลี่ยนแปลง

  5. หากคุณใช้โดเมนย่อย ให้ตรวจสอบกับผู้ให้บริการโดเมนเพื่อดูวิธีเพิ่มระเบียน TXT สำหรับโดเมนย่อย

  6. หากคุณตั้งค่า DKIM สำหรับโดเมนมากกว่า 1 รายการ ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้สำหรับแต่ละโดเมน คุณต้องมีคีย์ DKIM ที่ไม่ซ้ำกันจากคอนโซลผู้ดูแลระบบสำหรับแต่ละโดเมน

    หลังจากเพิ่มคีย์ DKIM แล้ว ระบบอาจใช้เวลาถึง 48 ชั่วโมงก่อนที่การตรวจสอบสิทธิ์ DKIM จะเริ่มทำงาน

ขั้นตอนที่ 3: เปิดและยืนยัน DKIM

  • หากคุณใช้ Google Workspace ให้ทำตามวิธีการในส่วนนี้
  • หากคุณไม่ได้ใช้ Google Workspace ให้ใช้เครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต
  1. ในคอนโซลผู้ดูแลระบบของ Google ให้ไปที่เมนู แอป Google Workspace Gmail

    ต้องมีสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบสำหรับการตั้งค่า Gmail

  2. คลิกตรวจสอบสิทธิ์อีเมล
  3. ในเมนูโดเมนที่เลือก ให้เลือกโดเมนที่ต้องการเปิด DKIM
  4. คลิกเริ่มต้นการตรวจสอบสิทธิ์ เมื่อการตั้งค่า DKIM เสร็จสิ้นและทำงานอย่างถูกต้อง สถานะด้านบนของหน้าจะเปลี่ยนเป็นกำลังตรวจสอบสิทธิ์อีเมลด้วย DKIM
  5. ส่งข้อความอีเมลถึงผู้ที่ใช้ Gmail หรือ Google Workspace (คุณไม่สามารถยืนยันได้ว่า DKIM เปิดอยู่ด้วยการส่งอีเมลทดสอบถึงตัวเอง)
  6. เปิดข้อความในกล่องจดหมายของผู้รับและค้นหาส่วนหัวของข้อความทั้งหมด

    หมายเหตุ: ขั้นตอนในการดูส่วนหัวของอีเมลจะแตกต่างกันสำหรับแอปพลิเคชันอีเมลต่างๆ หากต้องการแสดงส่วนหัวของข้อความใน Gmail ให้คลิกเพิ่มเติมข้างตอบ แสดงต้นฉบับ

  7. ในส่วนหัวของข้อความ ให้มองหา Authentication-Results การรับบริการต่างๆ จะใช้รูปแบบสำหรับส่วนหัวของข้อความที่แตกต่างกัน แต่ผลลัพธ์ DKIM ควรจะเป็น DKIM=pass หรือ DKIM=OK หากส่วนหัวของข้อความไม่มีบรรทัดเกี่ยวกับ DKIM แสดงว่าข้อความที่ส่งจากโดเมนของคุณไม่ได้เซ็นชื่อด้วย DKIM ให้ทำดังนี้

    • ยืนยันว่าคุณทำตามขั้นตอนทั้งหมดในบทความนี้แล้ว
    • ไปที่หัวข้อแก้ปัญหา DKIM

ขั้นตอนถัดไป

  • Google ขอแนะนำให้คุณตั้งค่าการตรวจสอบสิทธิ์ SPF และ DMARC ให้กับองค์กรด้วย ผู้ส่งอีเมลจำนวนมากต้องตั้งค่า DKIM, SPF และ DMARC โปรดดูรายละเอียดที่หัวข้อหลักเกณฑ์สำหรับผู้ส่งอีเมล
  • หากไม่แน่ใจว่า DKIM ทำงานอยู่ หรืออีเมลจากโดเมนของคุณส่งไปจดหมายขยะหรือไม่ โปรดดูหัวข้อแก้ปัญหา DKIM
  • (ไม่บังคับ) คุณอาจพิจารณาตั้งค่า BIMI เพื่อเพิ่มโลโก้ขององค์กรในข้อความที่ส่งจากโดเมนของคุณ


Google, Google Workspace รวมถึงเครื่องหมายและโลโก้ที่เกี่ยวข้องเป็นเครื่องหมายการค้าของ Google LLC ชื่อบริษัทและชื่อผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทั้งหมดเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทที่เกี่ยวข้อง